วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553


ประวัติ : โน๊ต อุดม
ชื่อ : นาย อุดม แต้พานิช
เล่าเรื่องราวส่วนตัว :
อุดม แต้พานิช เกิดเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2511 ปัจจุบัน อายุ
35 ปี แม้จะมีวัยเพียงเท่านี้ แต่อุดมก็ได้สร้างผลงานออกมา
สู่สายตาประชาชนมากมาย ซึ่งผลงานแต่ละชิ้นล้วนเป็นที่ได้
รับความนิยมสูงสุด

ประวัติการทำงาน

ก้าวแรกในวงการ :
อุดม แต้พานิช เข้าวงการบันเทิงครั้งแรกเมื่อปี 2536 เริ่มจาก
การเป็น 1 ใน 5 เสนาฯ รายการยุทธการขยับเหงือก ซึ่งเป็น
รายการ Comedian Show ที่มีเรตติ้งสูงสุดของช่อง 5 ในยุคนั้น
จึงทำให้อุดมได้แจ้งเกิดในวงการบันเทิง ย่าง เต็มตัวในชื่อ
เสนาฯโน้ต

กว่าจะมาเป็นเดี่ยว :
หลังจากความสำเร็จในครั้งแรก อุดม แต้พานิช ได้ตัดสินใจ
แยกตัวออกมาจากเสนาฯยุทธการ และได้สร้างปรากฏการณ์
ขึ้นในเมืองไทย นั่นก็คือ การพูดตลกคนเดียวบนเวที ทำให้
คนไทย ได้รู้จักคำว่า Stand Up Comedy หรือ ในชื่อไทย
เดี่ยวไมโครโฟน เป็นครั้งแรก

การแสดงเดี่ยวไมโครโฟนครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อปี 2538 และนี่
ถือเป็นการเริ่มต้น ส่งผลให้ อุดม แต้พานิชได้กลายเป็นตลก
เดี่ยวชั้นแนวหน้าของประเทศ จนเกิด เดี่ยว2, 3, 4 เป็นโชว์
คนเดียว กับไมค์ที่มีคนรอบัตรจำนวนมาก จนถึงกับต้องเปิด
การแสดงติดต่อกันถึง 21 รอบในแต่ละครั้ง ในประเทศนี้
นอกจากธงไชย แมคอินไตย์ ก็เห็นจะมีเขานี่แหล่ะที่ทำ
อย่างนั้นได้

เล่าเรื่องราว งานเขียน :
ทางด้านงานเขียนหนังสือ อุดม แต้พานิชเป็นคนหนึ่งที่ได้
ชื่อว่าเป็นนักเขียน Best Seller ปัจจุบันนี้หนังสือของอุดม
แต้พานิชมีถึง 9 เล่ม ได้แก่

- โทษฐานที่รู้จักกัน (พิมพ์ซ้ำ 31 ครั้ง)
- หนังสือโป๊ (พิมพ์ซ้ำ 20 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟนโชว์ห่วย (พิมพ์ซ้ำ 12 ครั้ง)
- รวมมิตรแต้พานิช (พิมพ์ซ้ำ 18 ครั้ง)
- เดี่ยวฯ 4 (พิมพ์ซ้ำ 8 ครั้ง)
- โน้ตบุ๊ค (พิมพ์ซ้ำ 13 ครั้ง)
- ก้นกล่อง (พิมพ์ซ้ำ 5 ครั้ง)
- เดี่ยวไมโครโฟน 1 (พิมพ์ซ้ำ 11 ครั้ง)
- GU(Garbage of Udom) เล่ม 1-3 จำนวน 170,000 เล่มในเวลาเพียง 6 สัปดาห์

นอกเหนือเหล่านี้ :
นอกจากจะเป็น Stand Up Comedian เป็นนักเขียนแล้ว อุดม
แต้พานิช ยังมีผลงานทาง การแสดงภาพยนตร์เรื่อง กล่อง
รับบทเป็นพระเอกซึ่งได้รับค่าตัวแพงที่สุดในประเทศไทย
และยังเป็นพรีเซ็นเตอร์ถ่ายโฆษณาคลื่นโทรศัพท์มือถือDtac
อีกทั้งอุดมยังเป็นศิลปินวาดภาพ เขาเคยมีผลงานแสดงผลงาน
ทางศิลปะมาแล้วถึงสามครั้ง ครั้งแรกใช้ชื่อว่า ยาระบายในปี
2542 และในปีถัดมาใช้ชื่องานว่า Note Udom on Canvas
ล่าสุดในปี 2544 อุดมใช้ชื่องานว่า Voodoo Gu do

ผลงานต่างๆที่อุดมได้สร้างสรรค์ออกมานั้น ทำให้สื่อมวลชน
หลายแขนงได้ยกย่อง อุดม แต้พานิช ถือเป็นบุคคลสำคัญ
คนหนึ่งที่มีส่วนในการสร้างสรรค์สังคม

- ปี 2540 ได้รับเลือกเป็น บุคคลแห่งปีจากคอลัมภ์จุดประกาย
หนังสือพิมพ์กรุงเทพฯธุรกิจ
- ปี 2542 หนังสือพิมพ์ The Nation : Special issue ได้รับเลือก
ให้อุดม แต้พานิช ได้เป็น 1 ใน 100 บุคคลแห่งศตวรรษ
ในสาขาอาชีพการแสดง
- และในปีเดียวกันนั้นเอง นิตยสาร Hi Class ได้มีการจัดอุดม
แต้พานิช ให้เป็น 1 ใน 50 ผู้มีอิทธิพลทางความคิดที่สุดใน
ประเทศไทยอีกด้วย


ที่มา www.exteen.com

ประวัติวัดใหญ่ชัยมงคล
พระมหานัธนิติ สุมโน*
ใน พ.ศ. ๒๗๕ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ราชาภิเษกเป็นพระเจ้าราชาธิราชปกครองมคธราษฎร์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งและทรงทำนุบำรุงพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนายิ่งกว่านักบวชในศาสนาอื่นๆ ทำให้นักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่เรียกว่า “เดียรถีย์”ปลอมตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุด้วยหวังลาภสักการะเป็นอันมาก จนเกิดแตกสามัคคีเพราะรังเกียจกันในหมู่สงฆ์ จึงมีการไต่สวนและกำจัดพวกเดียรถีร์ออกเสียจากภิกษุภาวะ พระสงฆ์ที่ทรงธรรมวินัยโดยถ่องแท้ได้พร้อมกันทำตติยสังคายนา ที่เมืองปาตลีบุตร มี พระโมคคลีบุตรติสเถระ เป็นประธาน ในพระราชูปถัมภ์ของ พระเจ้าอโศกมหาราช

หลังจากทำตติยสังคายนาแล้วได้จัดส่งพระเถรานุเถระไปสั่งสอนพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ ๙ สายด้วยกัน คือ

๑. พระมัชฌันติก ไปประเทศกัสมิระ และคันธาระ(แคว้นแคชเมียร์ และอาฟฆานิสถาน)
๒. พระมหาเทว ไปมหิสมณฑล (ไมสอ)
๓. พระรักขิต ไปวนวาสีประเทศ (เหนือบอมเบข้างใต้)
๔. พระธรรมรักขิต ไปอปรันตกประเทศ (ชายทะเลเหนือบอมเบ)
๕. พระมหาธรรมรักขิต ไปมหารัฐประเทศ (ห่างบอมเบไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ)
๖. พระมหารักขิต ไปโยนกโลกประเทศ (อยู่ในเปอร์เชีย)
๗. พระมัชฌิม ไปหิมวันตประเทศ (ในหมู่เขาหิมาลัย)
๘. พระโสณะ และ พระอุตตระ ไปสุวรรณภูมิประเทศ (ไทย)
๙. พระมหินทเถระ ไปลังกาทวีป

ในลังกาทวีปการพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่งทั้งนี้โดยความอุปการะช่วยเหลือของ พระเจ้าอโศกมหาราช
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาล่วงไปลังกาทวีปได้ถูกพวกทมิฬ ซึ่งเป็นชนชาติหนึ่งอยู่ตอนใต้ปลายแหลมชมพูทวีปมาแต่เดิมรุกราน และมีอำนาจเหนือลังกาทวีปหลายครั้งประการหนึ่ง การแย่งราชสมบัติรบราฆ่าฟันกันเองประการหนึ่ง ทำให้การพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปปั่นป่วน และแตกแยกเป็นหลายลัทธิ และบางทีก็เสื่อมลงถึงที่สุด จนไม่มีพระเถระสำหรับบวชกุลบุตร และสืบพระศาสนา ต้องส่งทูตไปขอพระเถระจากต่างประเทศ เข้าไปบวชกุลบุตรเป็นหลายครั้ง รวมทั้งประเทศไทยด้วย

ในระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๒๙พระพุทธศาสนาเสื่อมลงอย่างมาก เพราะเกิดพวกอลัชชี ถึงกับต้องชุมนุมสงฆ์ชำระและกำจัดภิกษุอลัชชีหลายคราว

เหตุที่เกิดอลัชชีมี ๒ ประการ คือ
๑. ลังกาทวีปถือพระพุทธศาสนาก็จริง แต่ได้รับขนบธรรมเนียมอย่างอื่นมาจากชมพูทวีปด้วย โดยเฉพาะการถือชั้นวรรณะตามคติของพราหมณ์ เมื่อพระเจ้าแผ่นดินสิงหฬมีอำนาจมากก็กีดกันคนชั้นต่ำเข้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ ครั้นอำนาจของพระเจ้าแผ่นดินสิงหฬเสื่อมทราม คนชั้นต่ำก็เข้าบวชมาก ผู้ดีบวชน้อยลง
๒. ระหว่าง พ.ศ. ๔๓๙-พ.ศ. ๔๕๕ พระเจ้าวัฏคามินีอภัย เสียราชธานีแก่พวกทมิฬ เที่ยวหลบหนีอยู่ในมลัยประเทศ ไม่มีพระราชทรัพย์ทำนุบำรุงพระสงฆ์ จึงทรงอุทิศที่ดินพระราชทานแทนเรียกว่า “ที่กัลปนา” (นับเป็นครั้งแรก) ให้ราษฎรซึ่งอาศัยได้ผลประโยชน์จากที่ดินนั้น ทำการอุปการะตอบแทนแก่พระสงฆ์ จึงเป็นราชประเพณีสืบต่อมา
เมื่อคน ชั้นเลวเข้าบวชมากขึ้น พระภิกษุพวกนี้ก็ขวนขวายหาลาภสักการจากที่ดินเลี้ยงตน ถึงกับเอาลูกหลานบวชไว้สำหรับครองอารามอย่างรับมรดก การบำเพ็ญกิจแห่งสมณะตามพระธรรมวินัยก็หย่อนยาน

ด้วยเหตุ ๒ ประการดังกล่าว จึงเกิดพระสงฆ์พวกหนึ่งเรียกว่า “วนวาสี” ซึ่งถือความสันโดษ ไม่ข้องแวะต่อการแสวงหาลาภสักการมาบำรุงรักษาอาราม

ปรากฏในตอนหลังๆ ว่า ชาวลังกาทวีปนับถือพระสงฆ์ฝ่ายวนวาสีมาก แต่พระภิกษุฝ่ายคามวาสีที่ดีก็คงมีจึงนิยมเป็นสงฆ์ ๒ ฝ่ายวนวาสี ก็คือ อรัญวาสี นั่นเอง และเป็นแบบอย่างมาถึงประเทศไทยเราด้วย

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติบี้


ชื่อ - สกุล:สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว

ชื่อเล่นบี้ วันเกิด:4 กันยายน 2528

สถานะ:โสด

อายุ:25

ปีส่วนสูง: 175 ซม.น้ำหนัก:66 กก
.
ประเภทดารา:นักร้องและนักแสดง

การศึกษา ปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 ภาควิชา วิศวกรรมอุตสาหกรรม สาขาวิชา วิศวกรรมเมคคาทรอนิกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

จบการศึกษา โรงเรียนมงฟอร์ดวิทยาลัย

งานอดิเรก ร้องเพลง

เล่นอินเตอร์เนท

สิ่งที่ชื่นชอบ แนวเพลงที่ชอบ ป๊อป
ศิลปินที่ชอบ บอย พีซเมกเกอร์

นิสัยส่วนตัว รักสนุก สบายๆ ไม่เรื่องมาก ชอบมุขฝืด (มุขแป้ก)

อาหารที่ชอบ ไก่ทอด KFC

ประวัติ กัน the star 6

ชื่อ: นภัทร อินทร์ใจเอื้อ

ชื่อเล่น: กัน

วัน/เดือน/ปี: 23 ตุลาคม 2533

ภูมิลำเนาเดิม: สุพรรณบุรี

ส่วนสูง: 174 เซนติเมตร

น้ำหนัก : 62 กิโลกรัม

การศึกษา : ปี 1 คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์

อุปนิสัย : สนุกสนาน ร่าเริง

คติประจำใจ : ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

แนวเพลง : POP

แนวหนัง : บู๊, ผจญภัย

สถานที่เที่ยว : ธรรมชาติ ทะเล,น้ำตก, ต่างจังหวัด

อาหารโปรด : ข้าวเหนียวส้มตำ, ข้าวผัด

ศิลปินคนโปรด : อ๊อฟ-ปองศักดิ์, บอย พีซเมคเกอร์

นักแสดงที่ชื่นชอบ : ป๋อ-ณัฐวุฒิ สกิดใจ

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า "พอล" ปลาหมึกยักษ์ชื่อดัง แห่งสวนน้ำในเมืองโอเบอร์เฮาเซน ประเทศเยอรมนี ได้ทำการทำนายเกมฟุตบอลโลก 2010 นัดรองชนะเลิศ ระหว่าง เยอรมัน กับ สเปน ในคืนวันที่ 7 ก.ค.นี้ ว่า สเปนจะเป็นฝ่ายชนะ โดยเจ้า ปลาหมึกพอล เคลื่อนตัวลงเกาะกล่องที่มีธงทีมชาติสเปนติดอยู่

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ปลาหมึกพอล ตกเป็นข่าวถูกมือดีตัดต่อภาพปลอมแพร่กระจายว่อนเน็ต ทำให้แฟนบอลอินทรีเหล็กถึงกับช็อกว่า ปลาหมึกพอล ทำนายผลสเปนจะเป็นฝ่ายชนะ ก่อนจะโดนแฉทีหลังว่าเป็นรูปตัดต่อนั่นเอง ทว่าในท้ายที่สุดแล้ว ปลาหมึกพอล (ตัวจริง) ก็ยังทำนายผลว่า สเปน จะเป็นฝ่ายชนะ แม้จะลังเลอยู่นานก็ตามที

สำหรับ ปลาหมึกพอล เพศผู้วัย 2 ขวบ ถือเป็นหมึกนักพยากรณ์ที่คนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ หลังสามารถทำนายผู้ชนะในการแข่งขันฟุตบอลโลกที่มีทีมชาติเยอรมันลงเตะได้ถูกติดต่อกันมาแล้ว 5 นัด


ที่มา kapook.com

ประวัติสุนทรภู่

วัยเด็ก (พ.ศ.๒๓๒๙ - ๒๓๔๙) แรกเกิด - อายุ ๒๐ ปี

พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีนามเดิมว่า ภู่ เป็นบุตรขุนศรีสังหาร (พลับ) และแม่ช้อย เกิดในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อวันจันทร์ เดือนแปด ขึ้นหนึ่งค่ำ ปีมะเมีย จุลศักราช ๑๑๔๘ เวลาสองโมงเช้า ตรงกับวันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ.๒๓๒๙ ที่บ้านใกล้กำแพงวังหลัง คลองบางกอกน้อย
สุนทรภู่เกิดได้ไม่นาน บิดามารดาก็หย่าจากกัน ฝ่ายบิดากลับไปบวชที่บ้านกร่ำ เมืองแกลง ส่วนมารดา คงเป็นนางนมพระธิดา ในกรมพระราชวังหลัง (กล่าวกันว่าพระองค์เจ้าจงกล หรือเจ้าครอกทองอยู่) ได้แต่งงานมีสามีใหม่ และมีบุตรกับสามีใหม่ ๒ คน เป็นหญิง ชื่อฉิมและนิ่ม ตัวสุนทรภู่เองได้ถวายตัว เป็นข้าในกรมพระราชวังหลังตั้งแต่ยังเด็ก

สุนทรภู่เป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอน สันทัดทั้งสักวาและเพลงยาว เมื่อรุ่นหนุ่ม เกิดรักใคร่ชอบพอ กับนางข้าหลวง ในวังหลัง ชื่อแม่จัน ครั้นความทราบถึง กรมพระราชวังหลัง พระองค์ก็กริ้ว รับสั่งให้นำสุนทรภู่ และจันไปจองจำทันที แต่ทั้งสองถูกจองจำได้ไม่นาน

เมื่อกรมพระราชวังหลังเสด็จทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ ทั้งสองก็พ้นโทษออกมา เพราะเป็นประเพณีแต่โบราณ ที่จะมีการ ปล่อยนักโทษ เพื่ออุทิศส่วนพระราชกุศลแด่ พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ ชั้นสูงเมื่อเสด็จสวรรคต หรือทิวงคตแล้ว แม้จะพ้นโทษ สุนทรภู่และจันก็ยังมิอาจสมหวังในรัก สุนทรภู่ถูกใช้ไปชลบุรี ดังความตอนหนึ่งในนิราศเมืองแกลงว่า

"จะกรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย แม้เจ้านายท่านไม่ใช้แล้วไม่มา"

แต่เจ้านายท่านใดใช้ไป และไปธุระเรื่องใดไม่ปรากฎ อย่างไรก็ดี สุนทรภู่ได้เดินทางเลยไปถึงบ้านกร่ำ เมืองแกลง จังหวัดระยอง เพื่อไปพบบิดาที่จากกันกว่า ๒๐ ปี สุนทรภู่เกิดล้มเจ็บหนักเกือบถึงชีวิต กว่าจะกลับมากรุงเทพฯ ก็ล่วงถึงเดือน ๙ ปี พ.ศ.๒๓๔๙



วัยฉกรรจ์ (พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙) อายุ ๒๑ - ๓๐ ปี

หลังจากกลับจากเมืองแกลง สุนทรภู่ได้เป็นมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ พระโอรสองค์เล็ก ของกรมพระราชวังหลัง ซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดระฆัง ในช่วงนี้ สุนทรภู่ก็สมหวังในรัก ได้แม่จันเป็นภรรยา

สุนทรภู่คงเป็นคนเจ้าชู้ แต่งงานได้ไม่นาน ก็เกิดระหองระแหงกับแม่จัน ยังไม่ทันคืนดี สุนทรภู่ก็ต้อง ตามเสด็จพระองค์เจ้า ปฐมวงศ์ไปนมัสการพระพุทธบาท จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา สุนทรภู่ได้แต่งนิราศ เรื่องที่สองขึ้น คือ นิราศพระบาท สุนทรภู่ตามเสด็จกลับถึงกรุงเทพฯ ในเดือน ๓ ปี พ.ศ.๒๓๕๐

สุนทรภู่มีบุตรกับแม่จัน ๑ คน ชื่อหนูพัด แต่ชีวิตครอบครัวก็ยังไม่ราบรื่นนัก ในที่สุดแม่จันก็ร้างลาไป พระองค์เจ้าจงกล (เจ้าครอก ทองอยู่) ได้รับอุปการะหนูพัดไว้ ชีวิตของท่านสุนทรภู่ช่วงนี้คงโศกเศร้ามิใช่น้อย

ประวัติชีวิตของสุนทรภู่ในช่วงปี พ.ศ.๒๓๕๐ - ๒๓๕๙ ก่อนเข้ารับราชการ ไม่ชัดแจ้ง แต่เชื่อว่าท่าน หนีความเศร้าออกไป เพชรบุรี ทำไร่ทำนาอยู่กับหม่อมบุญนาคในพระราชวังหลัง ดังความตอนหนึ่งในนิราศ เมืองเพชร ที่ท่านย้อนรำลึกความหลัง สมัยหนุ่ม ว่า

"ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุญนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนา ท่านการุญ"



รับราชการครั้งที่ ๑ (พ.ศ.๒๓๕๙ - ๒๓๖๗) อายุ ๓๐ - ๓๘ ปี

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเป็นมหากวีและทรงสนพระทัยเรื่องการละครเป็นอย่างยิ่ง ในรัชสมัยของ พระองค์ ได้กวดขันการฝึกหัดวิธีรำจนได้ที่ เป็นแบบอย่างของละครรำมาตราบทุกวันนี้ พระองค์ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละคร ขึ้นใหม่อีกถึง ๗ เรื่อง มีเรื่องอิเหนาและเรื่องรามเกียรติ์ เป็นต้น

มูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้ารับราชการ น่าจะเนื่องมาจากเรื่องละครนี้เอง ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับกรณีทอดบัตรสนเท่ห์ เพราะจากกรณี บัตรสนเท่ห์นั้น คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกประหารชีวิตถึง ๑๐ คน แม้แต่ นายแหโขลน คนซื้อกระดาษดินสอ ก็ยังถูกประหารชีวิต ด้วย มีหรือสุนทรภู่จะรอดชีวิตมาได้ นอกจากนี้ สุนทรภู่เป็นแต่เพียงไพร่ มีชีวิตอยู่นอกวังหลวง ช่วงอายุก่อนหน้านี้ก็วนเวียน และเวียนใจอยู่กับเรื่องความรัก ที่ไหนจะมี เวลามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมือง

(กรณีวิเคราะห์นี้ มิได้รับรองโดยนักประวัติศาสตร์ เป็นความเห็นของคุณปราโมทย์ ทัศนาสุวรรณ เขียนไว้ในหนังสือ "เที่ยวไปกับสุนทรภู่" ซึ่งเห็นว่ามูลเหตุที่สุนทรภู่ได้เข้า รับราชการ น่าจะมาจากเรื่องละครมากกว่าเรื่องอื่น ซึ่งข้าพเจ้า พิเคราะห์ดูก็เห็นน่าจะจริง ผิดถูกเช่นไรโปรดใช้วิจารณญาณ)

อีกคราวหนึ่งเมื่อทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกสิบขุนสิบรถ ทรงพระราชนิพนธ์บทชมรถทศกัณฐ์ว่า

"๏ รถที่นั่ง บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน
กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน
ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน
สารถีขี่ขับเข้าดงแดน พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ"

ทรงพระราชนิพนธ์มาได้เพียงนี้ ทรงนึกความที่จะต่อไปอย่างไรให้สมกับที่รถใหญ่โตปานนั้นก็นึกไม่ออก
จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ สุนทรภู่แต่งต่อว่า


"นทีตีฟองนองระลอก กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น
เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน อนนต์หนุนดินดานสะท้านสะเทือน
ทวยหาญโห่ร้องก้องกัมปนาท สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน
บดบังสุริยันตะวันเดือน คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา"


กลอนบทนี้เป็นที่โปรดปรานของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยยิ่งนัก นับแต่นั้นก็นับสุนทรภู่เป็นกวีที่ปรึกษาด้วย
อีกคนหนึ่ง ทรงตั้งเป็นที่ขุนสุนทรโวหาร พระราชทานที่ให้ปลูกเรือนที่ท่าช้าง และให้มีตำแหน่งเฝ้าฯ เป็นนิจ
แม้เวลาเสด็จประพาสก็โปรดฯ ให้สุนทรภู่ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย เป็นพนักงานอ่านเขียนในเวลาทรงพระราชนิพนธ์บทกลอน



ออกบวช (พ.ศ.๒๓๖๗ - ๒๓๘๕) อายุ ๓๘ - ๕๖ ปี

วันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๓๖๗ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากแผ่นดินและผืนฟ้าจะร่ำไห้ ไพร่ธรรมดาคนหนึ่งที่มีโอกาสสูงสุดในชีวิต ได้เป็นถึงกวีที่ปรึกษา ในราชสำนักก็หมดวาสนาไปด้วย

"ทรงขัดเคืองสุนทรภู่ว่าแกล้งประมาทอีกครั้งหนึ่ง แต่นั้นก็ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมึนตึงต่อสุนทรภู่มา จนตลอดรัชกาลที่ ๒ ... "

จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เพียงคิดได้ด้วยเฉพาะหน้าตรงนั้นก็ตาม สุนทรภู่ก็ได้ทำการไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ประกอบกับ ความอาลัยเสียใจหนักหนาในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สุนทรภู่ จึงลาออกจากราชการ และตั้งใจบวชเพื่อสนอง พระมหากรุณาธิคุณ สุนทรภู่ได้เผยความในใจนี้ ในตอนหนึ่ง ของนิราศภูเขาทอง ว่า

"จะสร้างพรตอตส่าห์ส่งบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไป"

เมื่อบวชแล้ว ท่านได้ออกจาริกแสวงบุญไปยังที่ต่างๆ เล่ากันว่า ท่านได้เดินทางไปยังหัวเมืองต่างๆ หลายแห่ง เช่นเมืองพิษณุโลก เมืองประจวบคีรีขันธ์ จนถึงเมืองถลางหรือภูเก็ต และเชื่อกันว่า ท่านคงจะเขียนนิราศเมืองต่างๆ นี้ไว้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ยังค้นหาต้นฉบับไม่พบ

ชีพจรลงเท้าสุนทรภู่อีกครั้ง เมื่อท่านเกิดไปสนใจเรื่องเล่นแร่แปรธาตุและยาอายุวัฒนะ ถึงแก่อุตสาหะ ไปค้นหา ทำให้เกิด นิราศวัดเจ้าฟ้า และนิราศสุพรรณ ปี พ.ศ.๒๓๘๓ สุนทรภู่มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเทพธิดาราม ท่านอยู่ที่นี่ได้ ๓ พรรษา คืนหนึ่งเกิดฝันร้าย ว่าชะตาขาด จะถึงแก่ชีวิต จึงได้แต่งเรื่องรำพันพิลาป ซึ่งทำให้ทราบเรื่องราว ในชีวิตของท่านอีก เป็นอันมาก จากนั้นจึงลาสิกขาบทเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ เพื่อเตรียมตัวจะตาย



รับราชการครั้งที่ ๒ (พ.ศ.๒๓๘๕ - ๒๓๙๘) อายุ ๕๖ - ๖๙ ปี

เมื่อสึกออกมา สุนทรภู่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งทรง พระยศเป็นสมเด็จพระเจ้า น้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ โปรดอุปถัมภ์ให้สุนทรภู่ ไปอยู่พระราชวังเดิมด้วย ต่อมา กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทรงพระเมตตา อุปการะสุนทรภู่ด้วย กล่าวกันว่า ชอบพระราชหฤทัย ในเรื่องพระอภัยมณี จึงมีรับสั่งให้สุนทรภู่แต่งต่อ นอกจากนี้ สุนทรภู่ยังแต่งเรื่อง สิงหไตรภพถวายกรมหมื่น อัปสรฯ อีกเรื่องหนึ่ง

แม้สุนทรภู่จะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังรักการเดินทางและรักกลอนเป็นที่สุด ท่านได้แต่งนิราศไว้อีก ๒ เรื่องคือนิราศพระประธม และนิราศเมืองเพชร สุนทรภู่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระสุนทรโวหาร" ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ ขณะที่ท่านมีอายุ ได้ ๖๕ ปีแล้ว ท่านถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๘ รวมอายุได้ ๖๙ ปี

ที่มาwww.zabzaa.com

:: ประวัติย่อ ::

ชื่อจริง : วรนุช วงษ์สวรรค์
ชื่อในวงการ : วรนุช วงษ์สวรรค์
ชื่อเล่น : นุ่น
วันเกิด : 24 ก.ย. 2523
สถานที่เกิด : -
น้ำหนัก/ส่วนสูง : 44 กก. / 165 ซม.
พี่น้อง : - คน
ศาสนา : พุทธ
การศึกษา : คณะวิทยาการจัดการ โปรแกรมนิเทศศาสตร์ภาคสมทบ สถาบันราชภัฏสวนดุสิต
นิสัยส่วนตัว : ร่าเริง อารมณ์ดี
สีที่ชอบ : ขาว
ของสะสม : ตุ๊กตา AAC
งานอดิเรก : ออกกำลังกาย
สถานที่ท่องเที่ยว : ทะเล
ศิลปิน-ดาราที่ชื่นชอบ : พี่นก สินจัย
ดนตรี-เพลง : แนวเพลง POP ช้า
กีฬา : โบว์ลิ่ง
ความสามารถพิเศษ : เล่นโบว์ลิ่ง , กอล์ฟ , รำไทย
อาหาร-ผลไม้ที่ชอบ : ทุกอย่าง
สเปคคนที่ชอบ : คนดี อารมณ์ดี
มุมมองความรัก : เป็นสิ่งสวยงาม ออกแบบด้วยตัวเองได้
คติประจำใจ : ทำให้ดีที่สุด

ผลงานในวงการบันเทิง
ปี 2540 ปอบผีฟ้า (วรนุช - นุติ)
ปี 2541 กิ่งไผ่ (วรนุช - สวิช)
ปี 2541 อีสา - รวีช่วงโชติ (วรนุช - อัษฏาวุธ)
ปี 2542 นางกวัก (วรนุช - วรุฒ)
ปี 2542 สาวน้อยร้อยมายา(วรนุช - เวฟ สาริน)
ปี 2542 รักเต็มร้อย(วรนุช - เขตต์)
ปี 2542 พิศวาสอลเวง (วรนุช - เขตต์)
ปี 2543 รากนครา(วรนุช - ดนุพร)
ปี 2543 แค่เอื้อม (วรนุช - สวิช)
ปี 2544 ต้นรัก(วรนุช - เขตต์)
ปี 2544 โนห์รา (วรนุช - เขตต์)
ปี 2545 เศรษฐีตีนเปล่า (วรนุช - อานัส)
ปี 2545 ใครกำหนด (วรนุช - เขตต์)
ปี 2545 จอมคนปล้นผ่าโลก (วรนุช - ยุรนันท์)
ปี 2546 สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย (วรนุช - เติ้ล ตะวัน)
ปี 2546 เปรตวัดสุทัศน์ (วรนุช - เอกรัตน์)
ปี 2546 มือปืนพ่อลูกติด (วรนุช - ณัฐวุฒิ)
ปี 2547 แม่อายสะอื้น (วรนุช - วีรภาพ)
ปี 2547 เพลงผ้า ฟ้าล้อมดาว (วรนุช - ชาคริต)
ปี 2547 ภูติพิศวาส(วรนุช - เขตต์)
ปี 2548 บ้านร้อยดอกไม้(วรนุช - อัษฎาวุธ)
ปี 2548 ฟ้ากระจ่างดาว (วรนุช - ณัฐวุฒิ)
ปี 2549 แคนลำโขง (วรนุช - ธนา)
ปี 2549 ด้วยแรงแห่งรัก(วรนุช - ปฏิภาณ)
ปี 2549 ลิขิตหัวใจ (วรนุช - ภาณุ)
ปี 2550 รหัสริษยา (วรนุช - ภัทรพล)
ปี 2550 กาษานาคา (วรนุช - วงศกร)
ปี 2550 สตรีที่โลกลืม (วรนุช - ธนา)
ปี 2551 เพลงดิน กลิ่นดาว (วรนุช - ศิวัฒน์)
และพิธีกรรายการ “ที่นี่หมอชิต”

รางวัลที่ได้รับ
- สาวหน้าใส จากเวทีประกวดนิตยสาร THE BOY
- Hamburger Awards นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง แม่อายสะอื้น
- TOP AWARDS 2004 สาขานักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น
- STAR ENTERTAINMENT AWARDS 2004 สาขานักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น
- รางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งที่ 19 สาขานักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม จากละคร แม่อายสะอื้น
- รางวัลเมขลาครั้งที่ 23 โดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย ผู้แสดงนำละครแนวชีวิตหญิงยอดเยี่ยม จากละครเรื่อง แม่อายสะอื้น
- คมมชัดลึก อวอร์ด ครั้งที่ 3 นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง เฉิ่ม
- การประกาศผลภาพยนตร์ไทยประจำปี 49 โดยชมรมนักวิจารณ์บันเทิง ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง เฉิ่ม
- STAR ENTERTAINMENT AWARDS 2005 ผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากภาพยนตร์เรื่อง เฉิ่ม และรางวัลพิเศษดาราขวัญในนักข่าวบันเทิงฝ่ายหญิง

ผลงานภาพยนตร์
- เปิงมาง กลองผีหนังมนุษย์
- เฉิ่ม (แสดงคู่กับ เพชรทาย วงศ์คำเหลา)

ผลงานอื่นๆ
- โฆษณา เจเล่ Super Light
- โฆษณา Pure & Mild
- โฆษณา LCH
- โฆษณา Botan
- โฆษณา Panten

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553


ดอกไม้ประจำวันครู

ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

ดอกไม้ประจำวันครู

สำหรับดอกไม้ประจำวันครู คือ “ดอกกล้วยไม้” โดยพิจารณาเห็นว่าคุณลักษณะของดอกกล้วยไม้ มีลักษณะและความหมายคล้ายคลึงกับสภาพชีวิตครู นั่นคือ กว่ากล้วยไม้แต่ละช่อจะผลิดอกออกผลให้เราชื่นชมได้ ต้องใช้เวลานานและต้องการดูแลเอาใจใส่ไม่น้อย เช่นเดียวกับครูแต่ละคน กว่าจะสั่งสอนเคี่ยวเข็ญศิษย์คนแล้วคนเล่าให้มีความเจริญงอกงามก้าวหน้าในชีวิตได้ ก็ต้องใช้เวลาอบรมสั่งสอนมิใช่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้ กล้วยไม้ยังเป็นพืชที่อยู่ในที่สูงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ไม่ร่วงโรยง่าย เปรียบเสมือนครูที่อยู่ทั่วแดนไทยที่ต้องอดทนต่อสู้เพื่ออุดมการณ์และอุทิศตนเพื่อการศึกษาของชาติ

ดังคำกลอนของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ศิลปินแห่งชาติ ที่ว่า

“กล้วยไม้มีดอกช้า ฉันใด
การศึกษาเป็นไป เช่นนั้น
แต่ออกดอกคราวใด งานเด่น
งานสั่งสอนปลูกปั้น เสร็จแล้วแสนงาม”

การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้

1. กิจกรรมทางศาสนา

2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์

3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้

รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ จำนวน ๑,๐๐๐ รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์
ที่มา www.tlcthai.com

หลังจากเคร่งเครียดกับการเรียน เหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน เดินซมซานออกมาจากความรัก อึ๊ย…!! ไม่ใช่แล้ว (แหะๆ) เอาเป็นว่า... หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ท้องฟ้าใสๆ สีน้ำทะเลสวยๆ อยู่ล่ะก้อ เราขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวสุดเดิร์น "เกาะล้าน" ทะเลแสนสวย สายน้ำใสๆ แถมอยู่ใกล้กรุงเทพฯ อีกด้วย

"เกาะล้าน" ตั้งอยู่ที่ จ.ชลบุรี อยู่ห่างจากชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร นั่งเรือโดยสาร 45 นาทีก็ถึง (นั่งกินลมชิวๆ ชมวิวเพลินๆ) หากเดินทางโดยเรือเร็วจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น (เร็วจริงๆ) มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ เพราะน้ำทะเลที่เกาะล้านนี้ใสมากๆ แถมยังเย็นชื่นใจอีกด้วย ว่ายไปว่ายมา บ้างก็ดำผุดดำว่าย บ้างก็ลอยตัวบนผิวน้ำใสๆ ก็เพลินใจไปอีกแบบ อ๋อ... ที่เค้าเรียกว่า "เย็นกายสบายใจ" เป็นอย่างนี้นี่เอง... หรือจะเลือกไปดำน้ำดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น "เรือลากร่มชูชีพ" สำหรับผู้ที่ชอบหวาดเสียว "เรือสกี" สำหรับผู้ที่ชอบความท้าทาย หรือจะเลือกมันส์ไปกับ "สกู๊ตเตอร์" ก็ไม่มีใครว่า

เอาล่ะ!! ได้เวลามาทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนเกาะล้านกันแล้ว...

เริ่มกันที่ "หาดตาแหวน" อยู่ทางตอนเหนือของเกาะล้าน เป็นหาดทรายยาวประมาณ 750 เมตร มีความงามทางธรรมชาติมาก เพราะมีหาดทรายที่ขาวสะอาดและน้ำทะเลใสสีคราม ทั้งนี้ ปลายหาดทั้งสองด้านยังมีแนวปะการังในระดับน้ำตื้นที่มีสีสันสวยงาม นอกจากนี้ ยังมีร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกตั้งเรียงรายตลอดแนวชายหาด... ขอบอกว่าถูกใจขาช้อปเค้านักล่ะ

ต่อกันที่ "หาดสังวาลย์" ที่อยู่ติดกับ "หาดตาแหวน" มีความยาว 150 เมตร มีความสงบ จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่ชอบนอนอาบแดด อย่างไรก็ตาม หาดสังวาลย์ จะสวยงามมากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม – เมษายน

หรือจะเลือกไปพักผ่อนที่ชายหาดขนาดเล็กเงียบสงบ เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ต้องการพักผ่อนแบบเป็นส่วนตัวที่ "หาดทองหลาง" ซึ่งมีกิจกรรมหลัก คือ การดำน้ำดูปะการัง บริเวณปลายหาดที่เชื่อมต่อกับหาดตาแหวน ทั้ง 2 ด้านนี้ยังมีแนวปะการังน้ำตื้นที่สวยงาม และมีบริการเดินชมปะการังใต้น้ำแบบ Sea Walker ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาใช้บริการ ส่วนนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบปะการังแต่ไม่ชอบการดำน้ำ ที่หาดนี้ยังมีบริการเรือท้องกระจก ให้สามารถลงไปชมปะการังได้อย่างใกล้ชิด

"หาดแสม" อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ เป็นหาดทรายยาวประมาณ 700 เมตร มีโขดหินและพื้นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์ มีความสวยงาม เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนและการเล่นน้ำ มีน้ำทะเลสีครามและหาดทรายที่ขาวสะอาด ปัจจุบันมีการปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรวม ทั้งปลูกต้นไม้ สร้างลานอเนกประสงค์ อาคารร้านค้าร้านขายอาหารที่ได้มาตรฐาน รวมถึงเส้นทางสัญจรที่สามารถเดินทางไปมาได้อย่างสะดวก จึงเป็นชายหาดอีกแห่งหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะชาวต่างชาติแถบยุโรป อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของอาคารปลากระเบนสำหรับควบคุมการผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมและโซล่าเซลล์ ทำให้มีหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปให้ความสนใจเข้ามาศึกษาดูงานการใช้พลังงานทดแทนในสถานที่ดังกล่าวอยู่เป็นประจำ

อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา - หมู่เกาะพีพี
ครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองทะเล ตำบลไสไทย ตำบลอ่าวนาง และตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีพื้นที่ 242,437 ไร่ เป็นพื้นน้ำประมาณ 200,849 ไร่ มีป่าไม้ 3 ประเภท คือ ป่าดงดิบชื้น พบเห็นได้บริเวณเขาสูงชันบริเวณเขาหางนาค เขาอ่าวนาง ป่าชายเลน จะพบบริเวณคลองแห้ง ใกล้ที่ทำการอุทยานฯ คลองย่านสะบ้า และด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณสุสานหอย 40 ล้านปี และป่าพรุ ที่พบต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างสมบูรณ์ มีสัตว์ต่าง ๆ ที่พบในอุทยานฯ ได้แก่ นกโจรสลัด เหยี่ยวแดง นกออก นกนางแอ่นกินรัง หมูป่า ลิง และค่าง สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวคือเดือนพฤษภาคม - เดือนเมษายน

อุทยานฯ มีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ คือ
หาดนพรัตน์ธารา อยู่ห่างจากตัวเมือง 17 กิโลเมตร ชายหาดมีความยาวเกือบ 3 กิโลเมตร เดิมชาวบ้านเรียกว่า “หาดคลองแห้ง” ทั้งนี้เพราะเมื่อน้ำลง น้ำคลองที่ไหลมาจากภูเขาทางด้านเหนือจะแห้งขอดกลายเป็นหาดทรายยาวเหยียดทอดลงไปในทะเล บรรจบกับเกาะเขาปากคลอง บริเวณหาดเป็นทรายละเอียดปะปนด้วยเปลือกหอยเล็ก ๆ ประดับด้วยทิวสนเรียงรายตามชายทะเลยาวเหยียด เมื่อน้ำลงจนแห้งสามารถเดินไปยังเกาะเล็ก ๆ บริเวณหน้าชายหาดได้ นอกจากนั้นบริเวณชายหาดมีที่พักของอุทยานฯ บริการแก่นักท่องเที่ยว โทร. 0 7563 7200 จากที่ทำการอุทยานฯ เดินเท้าไปตามชายหาดด้านทิศตะวันตก มีบังกะโลหลายแห่งให้บริการนักท่องเที่ยว ชายหาดบริเวณนี้ค่อนข้างเงียบสงบ เป็นสถานที่ที่ชาวกระบี่นิยมไปเที่ยวพักผ่อนในวันสุดสัปดาห์ ยังไม่มีถนนตัดเลียบชายหาด
สุสานหอย อยู่บริเวณชายทะเลบ้านแหลมโพธิ์ ห่างจากตัวเมืองประมาณ 17 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเดียวกับทางไปหาดนพรัตน์ธารา เมื่อถึงบ้านไสไทย จะมีป้ายบอกทางไปสุสานหอย บริเวณที่เป็นสุสานหอยแห่งนี้ เดิมเป็นหนองน้ำจืดขนาดใหญ่ มีหอยอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหอยขม มีขนาดราว 2 เซนติเมตร ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณพื้นผิวโลก น้ำทะเลไหลเข้ามาท่วมบริเวณหนองน้ำจนหมด ทำให้ธาตุหินปูนในน้ำทะเลหล่อเปลือกหอยใต้น้ำจนเป็นเนื้อเดียวกัน กลายเป็นแผ่นหินแข็งที่เรียกว่า Shelly Limestone หนาประมาณ 40 เซนติเมตร เมื่อแผ่นดินบริเวณนี้ถูกยกตัวขึ้นสูง ซากฟอสซิลเหล่านี้จึงปรากฏให้เห็นเป็นลานหินกว้างใหญ่ยื่นลงไปในทะเล จากการคำนวณหาอายุทางธรณีวิทยาพบว่า ฟอสซิลนี้มีอายุราว 40 ล้านปี
อ่าวนาง อยู่ห่างจากหาดนพรัตน์ธารา ตามถนนเลียบชายทะเลระยะทาง 6 กิโลเมตร เป็นชายหาดยาว มีที่พักร้านค้า บริษัทนำเที่ยว บริการหลายแห่ง ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามแปลกตาด้วยภูเขาหินปูนตระหง่าน จากอ่าวนางสามารถเช่าเรือไปเที่ยวชายหาดด้านทิศตะวันออกได้แก่ หาดไร่เล ซึ่งเป็นหาดทรายสีขาวละเอียด และ หาดถ้ำพระนาง ซึ่งมีถ้ำหินงอกหินย้อยและกิจกรรมปีนหน้าผาที่น่าตื่นเต้น ท้องทะเลในบริเวณอ่าวนางมีเกาะใหญ่น้อยกว่า 83 เกาะ บางเกาะมีรูปร่างประหลาดคล้ายรองเท้าบู๊ท เรือสำเภา หัวนก เกาะที่มีหาดทรายสวยงามและคนนิยมไปเที่ยวเล่นน้ำชมปะการังได้แก่ เกาะปอดะ เกาะหม้อ และเกาะทัพ
ที่มา sanook.com